เทศน์เช้า วันที่ ๙ กันยายน ๒๕๖๐
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
ตั้งใจฟังธรรมะเนาะ ตั้งใจฟังธรรม เพราะสัจธรรมนี้เป็นสิ่งที่แสวงหาของหัวใจ หัวใจของเราปรารถความสุข เกลียดความทุกข์ทุกคน แต่ความสุขๆ ความสุขทางโลกไง คอยตะครุบเงาๆ สวรรค์ในอก นรกในใจ แต่เราต้องการสวรรค์ เราต้องการสวรรค์บนดินในปัจจุบันนี้ ความต้องการสวรรค์บนดินในปัจจุบันนี้เป็นตัณหาความทะยานอยาก เป็นการคาดหมายของเราทั้งสิ้น เวลาคาดหมายทั้งสิ้น เวลาไม่ประสบความสำเร็จ เราไปบิณฑบาตนะ บ้านนอกคอกนาเวลาเขาใส่บาตรกัน เขาบอกว่า เขาชวนกันใส่บาตร ชวนกันใส่บาตรทำไม ชวนกันใส่บาตรเพราะว่าเกิดชาติหน้าจะได้มีอยู่มีกินไง เห็นไหม ในชาติปัจจุบันนี้เราไม่ประสบความสำเร็จ เราก็พยายามจะเอาแต่ชาติหน้า เราพยายามเอาแต่อนาคตไปข้างหน้าไง
แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนปัจจุบันนี้นะ สิ่งที่ว่าเราหวังอนาคต หวังชาติหน้า ชาติหน้าเพราะอะไร เพราะเราฟังธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไง เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรม บุพเพนิวาสานุสติญาณ ญาณที่ระลึกอดีตชาติขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะมาตรัสรู้เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านบอกว่ามันมีที่มาที่ไปไง ที่มาของท่าน ท่านได้สร้างคุณงามความดีของท่านมา ท่านได้สร้างความปรารถนาเป็นพระโพธิสัตว์มา ๔ อสงไขย ๘ อสงไขย ๑๖ อสงไขย แล้วถ้าประพฤติปฏิบัติขึ้นมา ปฐมยาม ระลึกถึงอดีตชาติได้ ถ้ายังไม่สิ้นกิเลส จุตูปปาตญาณ อนาคตมันต้องไปข้างหน้าไง
เวลาท่านประพฤติปฏิบัติ อาสวักขยญาณ ชำระล้างกิเลสในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพราะการชำระกิเลสตัณหาความทะยานอยากในหัวใจของเรา อวิชชาความไม่รู้ ความไม่รู้ สิ่งที่ตะครุบ เงาตะครุบ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพิกถอนออกทั้งหมดนะ นายช่างใหญ่ ความโลภ ความโกรธ ความหลง เรือนสามหลังรวมยอดของมัน นายช่างใหญ่เป็นผู้สร้างภพสร้างชาติให้กับหัวใจดวงนี้ไง หัวใจดวงนี้เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ เห็นไหม
เราได้ฟังธรรม ฟังธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตอกย้ำกันมาตลอด ในเมื่อในชาติปัจจุบันนี้เราทุกข์เรายาก เราก็หวัง ทำคุณงามความดีหวังอนาคต ว่าเกิดชาติหน้าชาติใดขอให้ประสบความสำเร็จ เราหวังอนาคตๆ หวังอนาคตว่าบารมีของเราอ่อนด้อยไง แต่ถ้าบารมีของเราในปัจจุบันเข้มแข็ง สวรรค์ในอก นรกในใจ ถ้าสวรรค์ในอก นรกในใจ ชาติปัจจุบันนี้เรามีสติปัญญารักษาหัวใจของเรานี่ไง มาวัดมาวามาสร้างบุญกุศลของเรา สร้างบุญกุศลของเราให้จิตใจมันเป็นสาธารณะ จิตใจมันยอมรับฟังคนอื่นบ้างไง
จิตใจมันไม่ฟังใคร เวลามันคิดอะไร มันปรารถนาสิ่งใดมันว่ามันถูกต้องดีงามไปทั้งหมด เวลาคนอื่นพูดผิดหมด แต่ตัวเองพูดถูกหมด นี่ความปรารถนาของมัน นี่ไง มันจะเป็นการสุมไฟตัวเองไง
เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่า ในโลกของเรา คนเราเกิดมามีหัวใจมาคนละดวง หัวใจดวงนี้มันเป็นธาตุรู้ มันเป็นพลังงาน พลังงานเป็นเหมือนดุ้นไฟ พวกเราเกิดมาถือดุ้นไฟคนละดุ้นแล้วก็วิ่งกันไปนะ ร้อนๆๆ มันมีแต่ความเร่าร้อน บัดนั้นมีมหาบุรุษผู้หนึ่งคือองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านได้สละทิ้งดุ้นไฟดุ้นนั้นไปแล้ว ท่านถึงเตือนพวกเราไง ให้ทิ้งดุ้นไฟนั้น ให้ทิ้งดุ้นไฟนั้น ให้ทิ้งดุ้นไฟนั้น ถ้ามีสติปัญญา เราจะทิ้งอย่างไร
นี่ไง สวรรค์ในอก นรกในใจไง สวรรค์ในอกๆ ถ้าเรามีสติปัญญาขึ้นมา เราศึกษาของเราขึ้นมา ถ้ามันมีธรรม ธรรมโอสถๆ ที่ไหนมันมีความเร่าร้อน ถ้ามันมีน้ำอมตธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเข้าไปกำจัดให้มันสงบเบาบางลง มันจะเกิดความสุขขึ้นมาๆ ความสุขจริงๆ ขึ้นมาแล้วมันอยู่ที่ความพอใจของคน เวลาจิตใจของเรามันพอใจสิ่งใด มันปรารถนาสิ่งใด ถ้ามันสมความปรารถนามันก็มีความสุข แต่ความสุขอย่างนี้ความสุขแสวงหามันเป็นอามิส อามิสที่แสวงหามามันไม่มีวันพอหรอก เราแสวงหามาขนาดไหนมันก็อยากให้ได้มากขึ้นๆๆ แล้วเราก็ต้องวิ่งเต้นกับมันไปมากขึ้นๆๆ ไอ้ที่ว่าจะเป็นความสุขๆ มันเลยกลายเป็นความทุกข์ไง สิ่งที่เราแสวงหากัน ปัจจัยเครื่องอาศัยมันเป็นหน้าที่การงานของเรา ใครถ้ามีอำนาจวาสนานะ ทำสิ่งใดก็ประสบความสำเร็จของเขา เขาก็มีบุญกุศลของเขาและสติปัญญาในชาติปัจจุบันนี้
เราเกิดมาเป็นมนุษย์เหมือนกัน เราก็แสวงหาเหมือนกัน แต่สติปัญญาของเราอ่อนด้อยกว่าเขา สติปัญญาของเรา จังหวะและโอกาสของเรา ความเหมาะสมที่มันยังไม่ได้สมความปรารถนา สิ่งนั้นเราก็พยายามสร้างของเราๆ นี่ทำคุณงามความดีอย่างนี้ขึ้นมา ให้ใจมันสงบระงับเข้ามา ใจสงบระงับเข้ามาไง
สิ่งนั้นสิ่งที่เราแสวงหามันเป็นปัจจัยเครื่องอาศัย มันเป็นสิ่งดำรงชีวิต สิ่งมีชีวิตต้องมีอาหารปัจจัยเครื่องอาศัย ถ้าไม่มีเครื่องอาศัยมันก็ดำรงชีวิตไว้ไม่ได้ แต่ดำรงชีวิตเท่านั้นไง ดำรงชีวิตไว้ทำไม
ชีวิตนี้มีการพลัดพรากเป็นที่สุดไง ชีวิตของเรามันต้องตายไปทั้งนั้น ทุกคนก็รู้ แล้วสมบัติของเรามันอยู่ที่ไหน สมบัติของเรา เราแสวงหาสิ่งใดหามาด้วยความสุจริต หามาโดยชอบธรรมก็แล้วแต่ มันไม่พลัดพรากจากเรา เราก็ต้องพลัดพรากจากเขาไป สิ่งที่เราจะพลัดพรากจากเขาไปก่อน เรามาเสียสละของเราตอนนี้ไง
คนที่มีสติมีปัญญา บ้านของเรามันจะโดนไฟไหม้ เรือนหลังนี้มันต้องพังทลายไปแน่นอน ใครที่มีสติปัญญาขนทรัพย์สมบัติออกจากเรือนหลังนี้ได้ มันก็จะเป็นสมบัติของเจ้าของนั้น ถ้าใครแสวงหา ใครตระหนี่ถี่เหนียว ใครยึดมั่นถือมั่นไว้ มันก็จะมอดไหม้ไปกับบ้านเรือนหลังนี้ไง เวลาเราสิ้นชีวิตไปแล้ว สิ่งที่ว่าเป็นสมบัติของเราๆ ไม่ใช่ของเราสักชิ้นหนึ่งเลย มันเป็นสมบัติของชาติ ของตระกูล ของมรดกตกทอดให้แก่คนอื่นต่อไปไง คนอื่นที่เขาระลึกถึงเราได้ เขาก็ยังระลึกถึงบุญคุณของเรา เรามีมรดกตกทอดให้เขา ถ้าคนอื่นระลึกถึงบุญคุณเราไม่ได้นะ เขาบอกว่าเราแสวงหาให้เขาน้อยเกินไป
สิ่งที่เราว่าเป็นของเราๆ มันไม่ใช่ของเราเลย แต่ใครเสียสละสิ่งใดออกไป สิ่งนั้นจะเป็นของเราๆ ที่เรามาเสียสละกันอยู่นี้เพราะเราเชื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไง แล้วถ้าเชื่อองค์ศมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วเรามีสติมีปัญญาหรือไม่ ถ้ามีสติมีปัญญาขึ้นมา สวรรค์ในอก มันจะไปสวรรค์ได้มันต้องร่มเย็นที่นี่
เวลาหลวงตาท่านสอน ขอให้เชื่อเถิดว่านรกสวรรค์มีจริงๆ ถ้านรกสวรรค์มีจริง จิตนี้มันไม่เคยตาย จิตที่ไม่เคยตายมันเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ มันแล้วแต่วาระที่มันจะไปเกิดในภพชาติใด ถ้ามันเกิดในภพชาติใด มันเวียนของมันไป ฉะนั้น เราทำคุณงวามความดี ทำคุณงามความดีของเราก็ฝึกหัดๆ ให้มันจาคะ ให้มันเสียสละ ให้มันเบาบางไง ให้เบาบาง ให้มันเกิดประโยชน์กับมันใช่ไหม เวลาประโยชน์กับมัน เราทำบุญกุศลของเราบ่อยครั้งเข้าๆ จนมันคุ้นชิน จนมันเป็นเรื่องธรรมดา เห็นไหม จิตใจมันเป็นธรรมดา เห็นสิ่งใดที่ขัดแย้ง เห็นสิ่งใดที่เขาเอารัดเอาเปรียบกันนะ มันรู้ด้วยสติปัญญาว่ามันเป็นสิ่งที่ไม่ดีเลย แล้วเป็นคนที่ฉลาดไง
เป็นคนที่ฉลาดนะ สิ่งนี้เราจะไม่ทำ สิ่งที่เขาก็เบียดเบียนกัน สิ่งที่เขาทำร้ายกัน เราจะไม่ทำ เพราะมันเป็นการสร้างเวรสร้างกรรมใช่ไหม เราไปเห็นคนที่เขาทำคุณงามความดี เขาทำนะ เออ! สิ่งนี้เป็นคุณงามความดี เราอยากจะทำแบบนี้ คนถ้าจิตใจเป็นธรรมขึ้นมา มันเห็นสิ่งใดก็เห็นตามความเป็นจริง เห็นไหม
แต่ถ้าคนที่มันมีกิเลสหนาปัญญาหยาบ เห็นคนที่เขาเบียดเบียนกัน คนที่เขาเอารัดเอาเปรียบกัน เออ! อย่างนี้ดีๆ ทำแล้วมันได้ประโยชน์ๆ นี่ไง เพราะปัญญาของเรา นี่นรก นรกในหัวใจไง
แต่ถ้ามันเป็นสวรรค์ในหัวใจ มันเห็นเขาทำคุณงามความดี สาธุนะ ใครเห็นคนทำคุณงามความดีนะ เราอนุโมทนาไปกับเขา เด็กคนนี้เป็นเด็กที่ดี คนคนนี้เป็นคนที่ดี คนคนนี้ทำแต่สิ่งที่ดีงาม ตกน้ำไม่ไหล ตกไฟไม่ไหม้นะ คนอย่างนี้เวลาเขาไปเจออุบัติเหตุ ไปเจอสิ่งตกทุกข์ได้ยาก อันนี้ลูกใคร อันนี้หลานใคร อ๋อ! พ่อแม่เขาเป็นคนดี ชาติตระกูลเขาเป็นคนดี เห็นไหม ทำความดีก็คือความดี ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว แต่สวรรค์ในอก นรกในใจ
ถ้ามันเป็นสวรรค์ มันคิดแต่เรื่องดีๆ เห็นสิ่งดีๆ แล้วมันเห็นตามความเป็นจริงนั้นไง แต่ถ้ามันเป็นนรกนะ มันเป็นบาปเป็นกรรมอกุศลนะ มันจะเอารัดเอาเปรียบเขา มันจะบีบคั้นเขา มันจะเอาแต่ผลประโยชน์ของเขา แล้วเวลาเขาเอาประโยชน์ไปแล้ว สิ่งที่เขาได้ประโยชน์มานั่นได้โทษ ได้นรก
ถ้านรกปัจจุบันนี้ ถ้าตำรวจจับได้ก็ติดคุก แล้วถ้าเขาทำไป ทำไมใครจะไม่รู้ คนเราอยู่ด้วยกันในสังคม ใครจะไม่รู้ว่าใครดีใครชั่ว แต่เขามีมารยาทของเขา เขาไม่พูดของเขา ถ้าเขาไม่พูดของเขา เขาทำสิ่งนั้น สังคมก็รังเกียจ รังเกียจเขา ทุกคนก็ไม่พอใจเขา แล้วจิตใจของเขา เขาทำบาปอกุศลไว้ในหัวใจ เขาจะไม่รู้ไปได้อย่างไร ความลับไม่มีในโลกหรอก ใครทำดีก็ต้องได้ดี ใครทำชั่วต้องได้ชั่ว จิตใจมันหยาบมันช้า จิตใจที่มันทำลายเขา จิตใจที่มันเอารัดเอาเปรียบเขา มันเผาลนในหัวใจของมัน ดุ้นไฟดุ้นนั้นมันร้อน ดุ้นไฟดุ้นนั้นมันดวงใหญ่ขึ้น ไฟดวงนั้นมันแผดเผาในหัวใจ ก็ทำหน้าชื่นตาบาน หน้าชื่นอกตรมไง สวรรค์ในอก นรกในใจไง มันมีแต่ความทุกข์ความยาก สิ่งที่ว่ามันจะได้ๆ มันเลยไม่ได้ แล้วสิ่งที่มันจะได้ ได้อย่างไร ก็ได้บาปอกุศล ได้บาปอกุศลเพราะความลับไม่มีในโลกไง
ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว คนทำคุณงามความดีเวลาตายไปแล้วจิตใจมันเบาเหมือนปุยนุ่น มันจะลอยขึ้นที่สูง คนเรามีบาปอกุศลนะ เวลามันตายไปเหมือนก้อนหิน มันเหมือนมันจะตกต่ำไปทั้งนั้นน่ะ โดยธรรมชาติ โดยสัจจะ
ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ เวลาสอนพวกเราให้มีศรัทธาความเชื่อให้มั่นคงในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ แก้วสารพัดนึกของเรา ใครจิตใจละเอียดอ่อนก็ได้ความละเอียดอ่อนในใจนั้น จิตใจหยาบกระด้างขนาดไหนมันก็จะได้ความหยาบกระด้างขนาดนั้น เห็นไหม พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์
พระธรรมๆ ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราว่าเป็นรัตนตรัย เป็นที่พึ่งอาศัยของเรา ถ้าใครมีสติมีปัญญา เขาจะได้ประโยชน์กับเขา แต่ถ้าใครไม่มีสติปัญญา ปัญญาหยาบ เขาก็ไม่ได้สิ่งใด แล้วเวลาเขาไม่ได้สิ่งใด เขาได้สิ่งที่หยาบๆ เราก็ปรารถนาอยากจะมีสวรรค์บนดิน สวรรค์บนดินเลย มันไม่มีอยู่จริงหรอก มันเป็นมนุษย์สร้างขึ้น แต่ถ้ามันเป็นสภาพป่าเขาโดยธรรมชาติ เราแสวงหาสภาวะธรรมชาติที่มันสวยงามโดยธรรมชาติ นั้นธรรมชาติสร้าง ด้วยความกัดกร่อนของลม ของน้ำ โดยให้เราเห็นเป็นความสวยงามนั้น ความสวยงามนั้นมันก็ไม่มีสิ่งใดคงทนหรอก มันเป็นอนิจจังทั้งนั้น นี่พูดถึงว่าสัจจะความจริง
สวรรค์ ถ้าจะเป็นสวรรค์ในหัวใจ ถ้าสวรรค์ในหัวใจ เรามีสติปัญญาขึ้นมา สิ่งใดมันจะมากน้อยขนาดไหน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้อยู่โคนต้นโพธิ์ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศนาว่าการ มีปัญจวัคคีย์เท่านั้น เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศนาว่าการจนได้พระปัญจวัคคีย์ ได้ยสะ เธอทั้งหลายพร้อมกับเรา ๖๑ องค์ พ้นจากบ่วงที่เป็นโลกและบ่วงที่เป็นทิพย์
บ่วงที่เป็นโลก เราติดบ่วงไปหมดเลย บ่วงที่เป็นโลกรัดคอตลอด บ่วงที่เป็นทิพย์ไง ชาติปัจจุบันนี้ไม่ประสบความสำเร็จ จะไปเกิดชาติหน้า ชาติหน้าจะไปเกิดเป็นเทวดา อินทร์ พรหม นี่บ่วงที่เป็นทิพย์
เวลาที่พ้นจากบ่วงที่เป็นโลกและพ้นจากบ่วงที่เป็นทิพย์ นี่ไง สวรรค์ในอก สวรรค์ในอก สวรรค์ทั้งนั้นน่ะ มันไม่มีสิ่งใดขาดตกบกพร่องในใจดวงนี้ ถ้าไม่มีสิ่งใดขาดตกบกพร่องในใจดวงนี้ ดูสิ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นพระอรหันต์ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ๔๕ ปี เทศนาว่าการ เดินด้วยพระบาทเปล่าไปทั่วชมพูทวีป โลกนี้เขาเร่าร้อนนัก โลกนี้เขาเร่าร้อนนัก เพราะเขามีแต่ไฟเผาในใจนั้น เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปสอนให้ปล่อยวางๆ ปล่อยวางไอ้ไฟดุ้นนี้ ไอ้ไฟที่มันเผาในใจให้มันปล่อยวางๆ ปล่อยวางออกมา ถ้าปล่อยวางขึ้นมาแล้วถ้ามันแช่มชื่นขึ้นมา นี่สวรรค์ในอก ถ้าสวรรค์ในอก ถ้ามันสุคโตที่นี่ เวลามันจะตายไปมันจะไปไหนล่ะ
นี่เราปรารถนาสวรรค์อนาคต เราปรารถนาสวรรค์ชาติหน้า เราปรารถนาความดีอนาคต แล้วเราพยายามสร้างๆ กันนะ มันต้องสร้างสติปัญญา สติปัญญาตั้งแต่บัดนี้ ถ้าบัดนี้ สวรรค์ในอก นรกในใจ มันเป็นปัจจุบันนี้ แล้วสิ่งที่สวรรค์จริงๆ นรกจริงๆ ไม่ต้องไปพูดถึงมันหรอก เราเป็นเจ้าภาพ เราเป็นเจ้าของ เราเป็นเจ้าของแห่งกรรม กรรมคือการกระทำ เราเป็นคนทำเสียเอง กรรมดีกรรมชั่วเราทำเอง ปฏิเสธไม่ได้หรอก ใครจะบอกว่าเราเป็นคนดีขนาดไหน แต่ถ้าเราเป็นคนเน่าใน เราก็ต้องทุกข์ไปตามนั้นน่ะ ถ้าคนเขาจะติฉินนินทาว่าเราเป็นคนเลวทรามขนาดไหน แต่ถ้าเราทำคุณงามความดีของเรานะ เราก็รื่นเริงของเรา เรารื่นเริงของเรา ไอ้นั่นโลกธรรม ๘ มีลาภเสื่อมลาภ มียศเสื่อมยศ ติฉินนินทา คำติฉินนินทาของเขา เห็นไหม
เวลาหลวงตาท่านสอนประจำ ขนโคกับเขาโค โคตัวหนึ่งขนโคเต็มตัวเลย คนโง่ คนที่ไม่รู้สัจธรรมเหมือนขนโคเลย เขาโคมีอยู่ ๒ เขา โคตัวหนึ่งนะ มีอยู่ ๒ เขา นอกนั้นขนทั้งนั้น คนโง่กับคนฉลาด ถ้าเขาจะติเตียนถากถางมันเรื่องของเขา เราต้องมีสติปัญญา ฟัง ฟังแล้วใช้สติปัญญา กาลามสูตร องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ให้เชื่อใดๆ ทั้งสิ้น เราต้องวิเคราะห์วิจัยของเรา ถ้าเราวิเคราะห์วิจัยของเรา เราฟังธรรมๆ ทุกวันๆ ฟังธรรมแล้วจิตใจของเราต้องพัฒนาสิ
เห็นไหม อานิสงส์ของมัน สิ่งที่ไม่เคยได้ยินได้ฟัง สิ่งที่ได้ยินได้ฟัง แต่มันไม่แน่ใจ ตอกย้ำๆ สิ่งใดที่มันขัดอกขัดใจ สิ่งใดที่มันเป็นฟืนเป็นไฟในหัวใจ ฟังแล้วมันปล่อยวางๆ ผลของมัน จิตใจนี้ผ่องแผ้ว ผลของการฟังธรรมๆ
การฟังธรรม ให้ธรรมชนะซึ่งการให้ทั้งปวง ให้ธรรมเป็นทานชนะซึ่งการให้ทั้งปวง แล้วธรรมมันอยู่ที่ไหนล่ะ ก็ให้ความฉลาด ให้อาชีพ ให้คนฉลาด ให้ดีขึ้น นี่การให้ แล้วให้ที่ไหนก็ได้ ให้ทำอย่างไรก็ได้ให้คนพัฒนาขึ้น ให้คนดีขึ้น เราทำให้คนทุกคนดีขึ้น ครอบครัวเราก็มั่นคง สังคมมีแต่คนลักเล็กขโมยน้อย เราจะมีความสุขไปได้อย่างไร ถ้าสังคมมีความร่มเย็นเป็นสุขสิ บ้านเราก็ร่มเย็นเป็นสุข
นี่ก็เหมือนกัน ให้คนรอบข้างเขามีความสุขสิ ถ้ามีความสุขแล้วหัวใจของเราก็จะมีความสุขขึ้นมาไง นี่ไง ให้ธรรมเป็นทานๆ เราเสียสละ เราแจก เราให้ ให้ทั้งนั้นน่ะ เขาบอกว่า ให้แล้วเขาจะมาแข่งขันกับเรา เขาจะมาทันเรา...ให้มันเลยหน้าไปเลย เพราะเลยหน้าไปเลยมันจะดีกว่าเราอีก มันจะได้ให้เราบ้างไง ให้เราบ้าง ให้คนอื่นบ้าง การฟังธรรมๆ เพื่อเหตุนี้ไง มาวัดมาวาเพื่อเหตุนี้
ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้อยู่องค์เดียวอยู่โคนต้นโพธิ์นั้น ไม่ต้องการสิ่งใดทั้งสิ้น เวลาสัจธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าต้องการความเรียบง่าย ไม่มีหรอกไอ้ที่หรูๆ หราๆ นั่นน่ะ ไอ้นั่นโลกๆ ทั้งนั้นน่ะ คติโลก โลกเป็นใหญ่ ต้องการชื่อเสียง ต้องการเกียรติศัพท์เกียรติคุณ แล้วก็มาเผาหัวใจมัน
แต่ถ้าเป็นธรรมๆ นะ เราอยู่ของเราเรียบง่าย มีลมหายใจปลอดโปร่ง อากาศบริสุทธิ์ อาหารก็เพื่อดำรงชีพ แล้วดูแลรักษาหัวใจของเรา นี่ไง สวรรค์ในอกๆ เราจะหาสวรรค์ที่นี่นะ สวรรค์โดยสัจจะโดยข้อเท็จจริงนั้น ใครจะปฏิเสธไม่ปฏิเสธนั้นอีกเรื่องหนึ่ง เหมือนกับปฏิเสธว่าคุกตารางไม่มีนั่นแหละ คนที่ปฏิเสธว่าคุกตารางไม่มี คนติดคุกเยอะแยะเลย ไอ้นี่ก็เหมือนกัน สวรรค์นรกไม่มี เออ! เดี๋ยวตายไปก็รู้ เวลาตายไปก็รู้นะ แล้วเอามาพิสูจน์กันตรงนี้ มันมีอยู่แล้ว แต่เพราะตาเรามันมืดบอด คนที่หัวใจเขาเปิดกว้าง เขาเห็นของเขาชัดเจน กามภพ รูปภพ อรูปภพ วัฏวนมันมีของมันอยู่ธรรมชาติของมัน เหมือนก้อนเมฆมันก็มีของมัน มันลอยไปนั่นน่ะ
ไอ้นี่ก็เหมือนกัน สวรรค์ กามภพ รูปภพ อรูปภพ มันมีของมันโดยธรรมชาติของมันอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าเราเชื่อไม่เชื่อ มันโดนกิเลสปิดหูปิดตาก็หลอกไปภพชาติหนึ่ง เวลาไม่ทำสิ่งใดเลย เวลาจะตายแล้วก็มาเสียใจทีหลัง คนที่เขาทำของเขา เขาประสบความสำเร็จของเขา เขาทำด้วยความอิ่มเอมหัวใจของเขาแล้ว เขาเกิดมาเขามีบุญกุศลของเขา
เกิดมาเป็นมนุษย์ มนุษย์มีสมอง มีมือ ได้ทำแต่คุณงามความดีแล้ว จะตายไปก็บ๊ายบาย จะตายแล้ว ไอ้เราจะตายดิ้นรนเกือบเป็นเกือบตาย ตายไปจะไปไหนก็ไม่รู้ แต่ไอ้คนที่เขาทำพร้อมนะ จะไปปิกนิก จะไปแล้ว เปลี่ยนภพเปลี่ยนชาติ มี ในปัจจุบันนี้คนที่หัวใจสูงส่งมี เราอย่าคิดนะว่ามีแต่คนจะคิดแบบเรา คนที่คิดดีก็เยอะ คนที่ทำคุณงามความดีจริงๆ เขาประสบความสำเร็จก็มี แล้วเขาเห็นของเขา
นี่ก็เหมือนกัน ถ้าเราพัฒนาหัวใจของเราให้มันผ่องแผ้ว แล้วทำขึ้นมาให้เป็นประโยชน์กับเรา ฟังธรรมๆ ไง ฟังธรรมเพื่อสวรรค์ในอก นรกในใจ เอาเดี๋ยวนี้ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนปัจจุบัน แก้ไขที่ปัจจุบัน อดีตอนาคตมันเป็นที่มา คนเรามันมีที่มาที่ไปทั้งนั้นน่ะ เห็นไหม เรามีพ่อมีแม่ เราก็มีพ่อมีแม่เหมือนกัน แล้วก็มีลูกมีหลาน นี่ก็เหมือนกัน ชีวิตมันจะเวียนไปอย่างนี้ มันมีของมันอยู่อย่างนี้ ถ้ามีอย่างนี้ เราศึกษาให้จิตใจของเรามั่นคงขึ้นมาเพื่อประโยชน์กับเรา ให้มันเป็นว่า สวรรค์ในอก นรกในใจ ในปัจจุบันนี้ ให้ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแวววาวขึ้นมา ให้ทฤษฎีที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางไว้ แล้วผู้ที่ประพฤติปฏิบัติได้มรรคได้ผล ได้ความสุข ได้ความสงบ ได้ความระงับจากธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรารถนามารื้อสัตว์ขนสัตว์ ก็ไอ้สัตตะ ไอ้ผู้ข้องเรานี่แหละ ไอ้สัตว์โง่เขลาแบบเรานี่แหละ แต่ถ้าเราพัฒนาขึ้นไปแล้วจิตใจเราจะเบิกบาน จิตใจเราแจ่มแจ้งขึ้นมา แล้วจะกราบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแบบหลวงตามหาบัว เวลาท่านตรัสรู้ธรรม เห็นไหม กราบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยน้ำตาอาบแก้ม กราบแล้วกราบเล่าๆ กราบถึงบุญถึงคุณขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เอวัง